วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Fri 12th Grotesque, ridiculous, bite the bullet

Grotesque, ridiculous, bite the bullet pronunciation




"SH" and "presentation" pronunciation

"SH" and "presentation" pronunciation



Wed 10th Feb English lesson

Your "Make" Phrasal verbs and "drop in", english lesson



Tues 9th Feb 2010

Thanks James, your english lesson regarding Phrasal Verbs of HOLD
Tues 9th Feb 2010

Featured Guest Episode 3

Your English Lesson for Mon 8th Feb 2010

American slang Part 5 and Vulnerable pronunciation

Your English Lesson for Sun 7th Feb



American slang

Your English lesson for Saturday 6th February 2010
4 Videos, altogether consumed just about 5-6 minutes only, thanks Jennifer







Phrasal Verbs Pronunciation Grammar

Your English Lesson for Fri 5th Feb

Thursday 4th February 2010

English lesson of Thurs 4th Feb

Wednesday 3rd February 2010

เรียนจากพื้นฐาน Learning from scratch

ร้องตาม ฝึกสำเนียงให้ถูกต้อง เริ่มแบบเด็กฝรั่งเรียนภาษาอังกฤษ เรียกว่าเรียนจากพื้นฐาน Learning from scratch
ดัดสำเนียงตามให้ได้ เพราะมันเป็นภาษาอังกฤษ เด็กฝรั่งพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทยไม่ได้ และ ฟังเราไม่รู้เรื่อง เหมือนเวลาฝรั่งพูดภาษาไทย เราก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เพราะฉะนั้น สำเนียง (Pronunciation อ่านว่า โปรนันซิเอฉั้น)สำคัญที่สุดในการพูดให้คนต่างชาติเข้าใจ







Rain Rain Go away, come again another day...




8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน และ Mind Mapping ไม่ต้องท่อง


8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน

วันพฤหัสบดีที่ 7 May พ.ศ.2552 15:41 น จาก บางกอก ทูเดย์

เมื่อลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้

เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้

1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุกครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น

2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง

3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น

4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ

5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่าการอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ

6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น

7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้

8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น

อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อ

อ่านทวนบทเรียน ทำ Mind Mapping โดยยึดหลัก What Why When Where Who How ก็จะคลุมใจความทั้งหมด ไม่ต้องท่อง และ จะเป็นพื้นฐานในการทำวิจัยในอนาคต

สอบไม่ต้องอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ แถมได้ เกรด A แค่ทำ Mind Mapping
จากพี่ปอ Dek-D Education และ www.learners.in.th/blog/sriphare

น้องๆ คงเคยได้ยินได้ฟังเคล็ดลับการเรียน เคล็ดลับการทำข้อสอบ ให้ได้ A กันมามากมาย หลายเคล็ดลับ หลายกระบวนท่า เคล็ดลับนี้ก็เป็น 1 ในสุดยอดเคล็ดลับที่พี่ปอ แห่งสำนัก dek-d ภูมิใจนำเสนอ ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ที่เราทุกคนนั้นน่าจะเคยเรียนรู้มาแล้วสมัยเด็กๆ นั่นคือ การทำ Mind Mapping

Mind Mapping แผนที่ความคิด (Mind Mapping or Concept Mapping) เป็น การจดบันทึกแก่นของไอเดียและความคิดใหม่ๆ รวมไปถึงการเชื่อมโยงไอเดียหรือความคิดต่างๆเข้าด้วยกัน เริ่มต้นด้วยการตั้งไอเดียหลักขึ้นมาที่กลางหน้ากระดาษ(แนวนอน-landscape)ก่อน แล้วบันทึกไอเดียต่างๆกระจายออกเป็นกิ่งๆ รายรอบออกจากศูนย์กลางของไอเดียหลักที่กลางหน้ากระดาษนั้น

แล้ว Mind Mapping เนี่ย มีประโยชน์ต่อการอ่านหนังสือสอบและการเรียนอย่างไรกัน ?

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Mind Map หรือ แผนที่ความคิดนั้น เป็นการจดบันทึก สิ่งต่างๆที่เราได้เรียน ได้รู้มา โดยจะจดไอเดียหลักๆ ลงไป ทำให้เราได้เห็นถึง ความคิดรวบยอด และได้เข้าใจถึงหลักการ ของบทเรียนนั้นๆมากขึ้น ที่สำคัญ ยังทำให้เราทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เรียนมาได้ง่ายด้วย เพราะเราจด แต่สิ่งหลักๆลงไป ทำให้ไม่ต้องอ่านเยอะ น้องๆหลายคนอาจจะคิดว่า มันก็คล้ายๆกับ การโน้ตย่อ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ครับ มันมีดีกว่าตรงที่ เราได้สรุป ส่วนหลักๆที่เราได้รู้มา แล้วเขียนลงไป มันจะทำให้เราได้คิด และเข้าใจมากขึ้นด้วย ไม่เชื่อลองทำดูเลย พี่ปอท้าพิสูจน์ อิอิ !!!

หลักการง่ายๆในการทำ Mind Mapping

- โฟกัส ลงไปที่ไอเดียต่างๆที่เป็นกุญแจสำคัญ โดยการจดลงไปที่กลางหน้ากระดาษด้วยคำพูดของเราเอง

- ต่อจากนั้นก็ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยแต่ละกิ่งก็มีไอเดียของกิ่งนั้น หลังจากที่ได้ทำเช่นนี้ไปจนมากพอแล้วในขั้นต้น

- จากนั้นก็ตรวจตราดูไอเดียต่างๆที่สัมพันธ์กัน เพื่อเชื่อมโยงไอเดียของแต่ละกิ่งที่เกี่ยวข้องกันเข้าหากัน. การกระทำเช่นนี้ เรากำลังวาดแผนที่ความรู้(ความคิด, ไอเดีย) ในลักษณะที่จะช่วยให้เราเข้าใจและโยงประเด็นสำคัญ รวมถึงจดจำข้อมูลใหม่ๆได้

นอกจากนี้ ในการทำ Mind Map ทุกครั้ง ควร ใช้หลักที่ว่า เขียนแต่คำที่เป็น keyword หรือคำหลักลงไป ที่มาจากการสรุปรวบยอดความคิดของเรา

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Puff, the Magic Dragon พัฟ มังกรแสนกล

"Puff, the Magic Dragon" is a song written by Leonard Lipton and Peter Yarrow and made popular by the group Peter, Paul and Mary in a 1963 recording

พัฟ มังกรแสนกล อาศัยในแดนที่เรียกชื่อว่า ฮานาลี มีเพื่อนรักชื่อ แจ๊คกี้ แป๊บเปอร์ น้อย ที่ชอบมาเล่นด้วยกันอยู่เสมอ - ทุกวันทั้งสองล่องเรือเล่น แม้แต่พระราชา เจ้าชาย โจรสลัด ต่างก็ต้องคำนับเมื่อพัฟเอ่ยชื่อตัวเขาออกมา (ผู้เขียน หมายถึงความร่าเริง มีจิตนาการ ศึกษาสิ่งใหม่ๆ พบสิ่งใหม่ๆ กล้าหาญ ดูกาตูนร์ ข้างล่าง 3 ตอน จะเห็น Jackie แรก ๆ ไม่พูด แต่พบเพื่อนดี สนุกสนาน เสริมความกล้าทั้งผจญภัย และ ท่องเที่ยว พอตอนโตมากลับลืมเพื่อน เนื่องมีอะไรทั้งดี และ ไม่ดี รวมทั้งเพื่อนใหม่เข้ามาในชีวิต เพราะฉะนั้น เก็บสิ่งดีๆไว้ และ เติมสิ่งดีๆ ใหม่ๆ อีก ชีวิตจะสดใสซาบซ่า รวย จน ไม่สำคัญ ขอให้มีชีวิตที่ดี ทั้งต่อตัวเอง คนรอบข้าง และ สังคม)

มังกรน่ะอยู่ตลอดกาล แต่ไม่ใช่เด็กน้อย เมื่อถึงวันหนึ่ง เจ้าหนูแจ๊คกี้ แป๊บเปอร์ ไม่ได้มาอีกต่อไป เจ้ามังกรก็เริ่มหวั่นไหว - หัวของเจ้าพัฟเริ่มก้มลง สีสรรไม่สวยงามเช่นเคย เมื่อไม่มีเพื่อนรักมาเล่น เจ้ามังกรพัฟก็หมดความกล้าหาญ และหลบซ่อนอยู่ในถ้ำตลอดไป



มีอีกความแฝง ซึ่งตีความหมายในแง่ร้าย ซี่งอาจจะเป็นจริง แต่อาจจะขาดจิตนาการของเด็กๆ ก็ได้น่ะ

ในสมัยตอนที่เพลงนี้ดังใหม่ๆ เด็กในอเมริกาดูดกัญชากันใหญ่เลย(สมัยนั้นฮิปปี้ครองเมือง) ทั้งเพลงนี้ยังโดนแบนในสิงคโปร์และฮ่องกงเนื่องจากเขาคิดว่ามีข้อความเกี่ยวกับยาเสพติดอยู่ในเพลง เพราะดันมีคนเอาเพลงมาตีความว่า Puff เป็นเสียงสูบยา ส่วนโฮนา ลีเป็นชื่อพ้องกับชื่อของฮานาไล ในฮาวายที่ปลูกกัญชากันมาก

เป็นการตีความหมายเพลงได้แย่มากเลยครับ เนื่องจากข้อมูลเรื่องกัญชาที่อยู่ในเพลงมีน้อยมาก สาระสำคัญจึงไม่ควรจะเป็นกัญชาอย่างแน่นอน และที่สำคัญ ผู้แต่งออกมาบอกเองว่าไม่เกี่ยวเลย

ความจริงแล้วเพลงนี้คนที่แต่งเนื้อเพลงไม่ใช่ปีเตอร์ พอล แมรี่ แต่เป็นนายคนนี้ครับ เลโอนาร์ด ลิปตัน(Leonard Lipton) แต่งเป็นกลอนก่อน หลังจากนั้นปีเตอร์ ยาโรว(Peter Yarrow) จึงนำไปแปลงเป็นเนื้อเพลงอีกทีหนึ่ง โดยที่ได้รับอิทธิพลมาจากกลอน Custard the Dragon ของโอ๊กเดน นาช(Ogden Nash)

ลิปตันพยายามจะให้เจ้ามังกรพัฟเป็นตัวแทนของความเป็นเด็ก กล่าวคือแจ๊คกี้ เปเปอร์ไปเล่นกับพัฟทุกๆวันเมื่อตอนที่เขาเป็นเด็ก แต่เมื่อโตขึ้น jackie paper came no more แจ๊คกี้ไม่มาเล่นกับเขาอีกแล้ว มังกรในที่นี้แทนถึง"แฟนตาซี"ในความคิดของเด็ก ที่เมื่อโตขึ้นสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้รับความสำคัญอีกต่อไป แจ๊คกี้เป็นตัวแทนของเด็กที่สูญเสียจินตนาการ คนแต่งหมายความอย่างนั้น แต่คนทั่วไปดันไปตีความว่าเป็นกัญชาซะฉิบ!

Puff, the magic dragon lived by the sea
And frolicked in the autumn mist in a land called honah lee,
Little jackie paper loved that rascal puff,
And brought him strings and sealing wax and other fancy stuff.
*oh Puff, the magic dragon lived by the sea
And frolicked in the autumn mist in a land called honah lee*

Together they would travel on a boat with billowed sail
Jackie kept a lookout perched on puff’s gigantic tail,
Noble kings and princes would bow whene’er they came,
Pirate ships would lower their flag when puff roared out his name.
*
A dragon lives forever but not so little boys
Painted wings and giant rings make way for other toys.
One grey night it happened, jackie paper came no more
And puff that mighty dragon, he ceased his fearless roar.
His head was bent in sorrow, green scales fell like rain,
Puff no longer went to play along the cherry lane.
Without his life-long friend, puff could not be brave,
So puff that mighty dragon sadly slipped into his cave. *

เวลา

ช่วงเวลาที่เพลงนี้ปรากฏต่อสาธารณชนเป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังจะรุกเวียดนามอย่างเต็มรูปแบบ ความตั้งใจของการแต่งเพลงมิได้เพื่อพูดถึงสงครามเวียดนาม แต่เพลงนี้กับสงครามก็ยังมีความลงตัวกันอย่างประหลาด

มังกร

ความเป็นมังกรของพัฟสื่อได้สองอย่าง อย่างแรกคือพัฟเป็นตัวแทนของ"ความเป็นตะวันออก"ของเวียดนาม มังกรพัฟ lived by the sea นั่นหมายถึงแผ่นดินเวียดนามนี้อยู่ติดทะเล ส่วนอย่างหลังคือ เฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในสงครามเวียดนาม(ซึ่งจีไอตั้งชื่อเล่นให้มันว่าพัฟซะด้วย!) ชื่อเล่นของสงครามเวียดนามอย่างหนึ่งคือ Helicopter War เนื่องจากสหรัฐใช้และเสียเฮลิคอปเตอร์จากการนี้ไปเป็นจำนวนมาก

เด็กชาย

เป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกาที่ไปรุกรานประเทศอื่น เหมือนกับเด็กที่ไม่ยอมโต(เพราะประเทศทางยุโรปหยุดทำอย่างนี้ไปแล้ว) แจ๊คกี้ brought him strings and sealing wax and other fancy stuff ในที่นี้ sealing wax คงจะเป็น ระเบิดนาปาล์มที่ใช่ในเวียดนาม other fancy stuff นั้นแจ๊คกี้นำอาวุธไปให้เวียดนามใต้(ซึ่งเป็นฝ่ายอเมริกา) เพราะอย่าลืมมังกรตีความได้ถึงเวียดนามได้เช่นกัน

พระราชา

ท่อนหนึ่งของเพลงร้องว่า Noble kings and princes would bow whenever they came พระราชากับเจ้าชายที่หมายถึงนี้คือผู้นำของประเทศต่างๆที่ต้องโค้งคารวะให้สหรัฐ เมื่อสหรัฐเดินทางมาทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ ท่อนนี้อาจสื่อถึงประเทศหลายประเทศในภูมิภาคนี้ที่หลายประเทศในเวลานั้น ยังมีกษัตริย์อยู่

โจรสลัด

Pirate ships would lower their flag when puff roared out his name ในสมัยนั้น(รวมถึงสมัยนี้) โจรสลัดก็ยังชุกชุมอยู่แถบนี้ครับ แต่ทว่าเมื่อเจออเมริกาเข้าไป โจรสลัดพวกนี้ก็หงอยหยองกรอด เพราะสู้ไม่ได้อยู่แล้วกับทหารอาวุธครบมือ

ชีวิต

A dragon lives forever but not so little boys เฮลิคอปเตอร์อยู่ตลอดกาล(เพราะไม่มีชีวิต) แต่เด็กชายจะไม่สามารถอยู่ได้ตลอดกาลเช่นมังกร ตอนสุดท้ายอเมริกาแพ้สงคราม เด็กชายในที่นี้จะหมายความลึกลงไปอีกถึงจีไอที่ตายทุกวัน ออกทีวีที่แผ่นดินแม่ทุกวัน

เชอร์รี่เลน

เชอร์รี่มีสีแดง คอมมิวนิสต์ก็สีแดง Puff no longer went to play along the cherry lane เจ้ามังกรไม่ได้เข้าไปอยู่ในดงคอมมิวนิสต์อีกแล้ว เพราะว่า แจ๊คกี้ไม่อยู่แล้ว Without his life-long friend, puff could not be brave อเมริกาไม่อยู่ เวียดนามใต้ก็ไม่สู้เหมือนกัน

เพลงนี้ออกมาปี 1963 สงครามเวียดนามเริ่มปี 1959 จบปี 1975 ครับ

จาก http://diewelt.exteen.com/


Peter, Pual and Mary, Puff the Magic Dragon with Lyrics

344">


Puff the Magic Dragon, Part 1/3


Puff the Magic Dragon, Part 2/3


Puff the Magic Dragon, Part 3/3